---

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แซนวิช จานด่วนที่อาจไม่ปลอดภัย



แซนวิช

 
แซนวิช จานด่วนที่อาจไม่ปลอดภัย (Modernmom)
โดย: ผศ.นสพ.ดร.ศุภชัย เนื้อนวลสุวรรณ
ภาควิชาสัตว์แพทยสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

          ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ กระทั่งวันหยุดยาว บางครอบครัวที่พอจะมีเวลาว่างสักเล็กน้อย ก็อาจจะมีการตระเตรียมอาหารหรือของว่างเองไปกินระหว่างเดินทาง เพื่อจะได้ไม่ต้องลุ้นว่าจะต้องผจญหรือสุ่มเสี่ยงกับอาหารนอกบ้านมากเกินไป ทั้งเรื่องสุขอนามัยหรือความสะอาดของร้านอาหาร แต่ใช่ว่าการเตรียมอาหาร เช่น อาหารจานด่วนทำเสร็จรวดเร็วนั้นก็อันตรายได้เช่นกัน

 จานด่วนเชื้อโรคมาด่วน

          อาหารจานด่วนหรือฟาสฟู้ดที่ได้รับความนิยมกันมาก รวมถึงการตระเตรียมก็ไม่ยุ่งยากมากนัก ก็เพียงแค่จัดหาส่วนประกอบอาหารที่พร้อมบริโภคอยู่แล้วนำมารวมกัน เช่น แซนวิชหรือแฮมเบอร์เกอร์

          หลายท่านก็คงจะเริ่มเห็นภาพนะครับแล้วว่า แซนวิชนั้นทำง่ายมาก เพียงแต่ซื้อวัตถุดิบอาหารสำเร็จรูปนำมารวมกัน เช่น ขนมปัง ประกบรวมกับ ไส้แซนวิช ซึ่งอาจจะเป็น แฮม ปูอัด หมูหยอง เบคอน ทูน่า หรือไส้อื่นใดเท่าที่จะจัดหาได้ และเพิ่มคุณค่าทางอาหารให้ครบด้วยการเพิ่มผักสลัดเข้าไป จากนั้นก็เชื่อมขนมปังกับไส้ ด้วยกาวที่ทานได้และมีรสชาติอร่อย เช่น Salad Cream Sandwich Spread หรือ มายองเนส เป็นต้น ทั้งหมดนี้ก็คงใช้เวลาไม่นานมากนัก

          แม้ว่าวัตถุดิบอาหารทุกชนิดที่ประกอบเป็นแซนวิชจะมีความสะอาดและปลอดภัยต่อการบริโภคเพียงใดก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นประเด็นที่หมอซุปต้องเน้นย้ำ คือ ความสะอาดของสองมือที่พ่อบ้านหรือแม่บ้านใช้ในการหยิบจับวัตถุดิบอาหารเหล่านี้เองที่อาจจะนำมาซึ่งอันตรายต่อสมาชิกในบ้าน 

          ทั้งนี้เนื่องจากบนผิวหนังของเราทุกคนนี้เองมีเชื้อโรคเกาะติดอยู่ตลอดเวลา โดยที่เชื้อโรคนี้มักจะพบแฝงตัวอยู่มากตามซอกหลืบเร้นลับต่าง ๆ ของร่างกายที่อาจจะไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอหรือเพียงพอ หากขาดความระมัดระวังในเรื่องความสะอาด ก็มีโอกาสมากทีเดียวที่ระหว่างการเตรียมอาหาร มือที่ไม่ได้ล้างสะอาดเพียงพอ หรือบังเอิญล้วงแคะแกะเกา ก็ไปประกอบอาหารให้สมาชิกในบ้านเท่ากับเป็นความหวังดีแต่ประสงค์ร้าย ไปแปะเชื้อโรคไว้ที่แซนวิช

 จานด่วน กินไม่ด่วน ชวนเชื้อโรค

          หากว่าแซนวิชที่ตระเตรียมเสร็จแล้วถูกสมาชิกในบ้านเปิบภายในเวลาไม่นานนัก ก็มักจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่หากบังเอิญว่าแซนวิชที่เตรียมไว้ข้ามคืนโดยทิ้งไว้นอกตู้เย็น หรือทิ้งไว้จนกระทั่งบ่ายหรือเย็นก่อนที่จะถูกทานเข้าไป ปัญหาก็จะเกิดขึ้น เนื่องจากเชื้อโรคจะมีเวลาในการเพิ่มจำนวนและสร้างสารพิษสะสมไว้ในแซนวิชเพียงพอที่จะทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ โดยอาการหลัก ๆ ของสารพิษ คือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หนาวสั่น ความรุนแรงก็ขึ้นอยู่กับปริมาณสารพิษที่ได้รับเข้าไป
 
แซนวิช

เปิบปลอดภัย...สไตล์หมอซุป

           ล้างมือให้สะอาด (โดยอย่าลืมร้องเพลง ช้าง ให้จบก่อนด้วยครับ)

           ทุกครั้งก่อนการหยิบจับวัตถุดิบอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีแผลที่มือหรือนิ้ว หรือเลวร้ายขนาดฝีหนองด้วย ซึ่งเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนังก็ให้บังเอิญเป็นเชื้อโรคในกลุ่มเดียวกับเชื้อโรคอาหารเป็นพิษนี้เองด้วย จึงควรหลีกเลี่ยงการตระเตรีมอาหารเป็นอย่างยิ่ง

           แต่หากเลี่ยงไม่ได้ควรสวมถุงมือเพื่อไม่ให้เชื้อโรคปนเปื้อนลงไปในอาหาร ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะคนที่มีแผลที่มือหรือนิ้วเท่านั้นที่จะสวมถุงมือได้นะครับ แต่ยังคงต้องใช้ความระมัดระวังเช่นเดิม คือ พยายามไม่ให้ถุงมือไปสัมผัสกับผิวหนังนั่นเอง

           หลังจากเตรียมแซนวิชแล้ว ควรจะเก็บแซนวิชในตู้เย็นหรือเก็บในที่เย็นตลอดเวลาก่อนถึงเวลาทานจริง เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจจะบังเอิญปนเปื้อนไม่ให้เพิ่มจำนวนและสร้างสารพิษออกมา
 

ภัยร้ายความเค็มสะสมจากพริกน้ำปลา



น้ำปลาพริก

ภัยร้ายความเค็มสะสมจากพริกน้ำปลา (Woman's Story)

          ทราบหรือไม่ว่าพริกน้ำปลา นอกจากไม่ได้จัดให้อยู่ในชุดอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุแล้ว ยังอาจเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุโดยไม่รู้ตัว เพื่อไม่เสียเวลา เราไปติดตามข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวกันเลยค่ะ...

          องค์การอนามัยโลกให้รับประทานอาหารที่มีโซเดียมได้ไม่เกินวัน 1,400 มิลลิกรัม ซึ่งอาหารไทยส่วนมากจะมีรสจัดโซเดียมเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดมาก และโซเดียมที่ใกล้ตัวมากที่สุดและคนมักมองข้ามคือพริกน้ำปลา ที่แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของคนไทยไปแล้ว เพราะจะเห็นว่าคนที่จะรับประทานอาหารมักจะคลุกเคล้าข้าวกับพริกน้ำปลา และเติมพริกน้ำปลาในอาหาร นอกจากนี้แล้วก่อนที่จะกินก๋วยเตี๋ยวก็มักจะเติมน้ำปลา น้ำตาล น้ำส้มสายชูลงไปด้วย

          อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารรสเค็มมาก ๆ และบ่อย ๆ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองแตก โรคหัวใจ และไตวาย รวมทั้งโรคกระดูกพรุน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคดังกล่าวอยู่แล้วจะต้องระมัดระวังอาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในโรคที่เป็นอยู่ เนื่องจากโรคดังกล่าวนี้เหมือนกับภัยเงียบที่ไม่บ่งบอกอาหารให้ผู้ป่วยได้รู้ 

          คนที่เป็นก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร แต่เมื่อเป็นความดันสูงอยู่เรื่อย ๆ เมื่ออายุมากขึ้น ความยืดหยุ่นเส้นเลือดน้อยลง เส้นเลือดแข็งก็จะเปราะบาง เมื่อมีความดันสูงเรื่อย ๆ ไม่สามารถคุมได้แล้วเกิดเส้นเลือดแตกตามจุดสำคัญต่าง ๆ ก็จะทำให้เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ กลายเป็นคนพิการ และที่ร้ายแรงที่สุดคือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้



          ฉะนั้นแล้ว คนวัยหนุ่มสาวที่ยังแข็งแรง ก็ต้องระมัดระวังและควบคุมการรับประทานอาหารรสเค็ม เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้เกิดการสะสมโซเดียมไว้ในร่างกายมากเกินไป อีกทั้งควรเลือกใช้เกลือหรือน้ำปลาโลว์โซเดียมที่มีจำหน่ายตามร้านค้าต่าง ๆ มาปรุงรสเค็มให้อาหารแทนน้ำปลาทั่ว ๆ ไป ซึ่งน้ำปลาโลว์โซเดียมนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ดื่มนมเป็นประจำ ช่วยลดน้ำหนักได้นะจะบอกให้



ดื่มนม


ดื่มนมเป็นประจำ ช่วยลดน้ำหนักได้นะจะบอกให้ (Woman's Story)

          เคล็ดลับอันนี้คงเป็นที่ถูกใจของสาว ๆ ที่ชื่นชอบการดื่มอยู่แล้วนะคะ เพราะการที่คุณดื่มนมหรือทานโยเกิร์ตเป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนักลงได้ ด้วยคุณประโยชน์ที่มีในน้ำนมอย่างแคลเซียมนั่นแหละค่ะ ที่เป็นคำตอบในการลดน้ำหนัก เพราะแคลเซียมจะไปขัดขวางการสร้างหรือสะสมของไขมันในร่างกาย ซึ่งจะส่งผลทำให้ระบบการเผาผลาญดีมากขึ้น และทำให้น้ำหนักลดลงในที่สุดค่ะ และถ้าหากคุณสามารถดื่มนมได้วันละ 3-4 กล่อง ก็จะยิ่งทำให้น้ำหนักลดลงได้มากกว่าการทานอาหารเสริมที่แคลเซียมเป็นส่วนประกอบซะอีกนะคะ

           ถ้าหากใครที่กำลังจะหันมาดื่มนมเพื่อลดน้ำหนักแล้วล่ะก็ ควรจะคำนึงถึงปริมาณแคลเซียมและโปรตีนที่จะได้รับจากการดื่มนมชนิดนั้น ๆ ด้วย ซึ่งควรเลือกชนิดที่ให้แคลเซียมและโปรตีนสูง แต่ให้พลังงานต่ำ เช่น นมพร่องไขมัน นมขาดมันเนย หรือโยเกิร์ตพร่องไขมัน เป็นต้น ที่สำคัญต้องเลือกแบบรสธรรมชาติ หรือรสจืดมากกว่ารสอื่น ๆ เพราะมีการปรุงแต่งหรือเติมน้ำตาลในประมาณที่น้อย และปริมาณแคลเซียมในนมแต่ละชนิดก็ไม่เท่ากัน

โยเกิร์ต


           โดยในนมขาดไขมันที่ให้พลังงาน 110 แคลอรี จะให้แคลเซียม 373 มิลลิกรัม, โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 120 แคลอรี ให้แคลเซียม 189 มิลลิกรัม, นมเปรี้ยวพร่องมันเนย 140 แคลอรี ให้แคลเซียม 114 มิลลิกรัม, นมข้นหวาน 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 70 แคลอรี และมีแคลเซียม 54 มิลลิกรัมค่ะ

           นอกจากนี้แร่ธาตุในนมอย่างฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม ก็ยังมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขัดขวางการสร้าง หรือสะสมไขมันของร่างกาย ส่วนโปรตีนก็ช่วยเสริมกล้ามเนื้อและเพิ่มอัตราในกระบวนการเมตาบอลิซึ่มได้ มากขึ้นอีกด้วยค่ะ

Winter Fruit คุณค่าผลไม้ในไอหนาว


ผลไม้

Winter Fruit : คุณค่าผลไม้ในไอหนาว (รักลูก)
โดย: Blooming Blossom
 
          เมื่อลมหนาวพัดมา ผลไม้หลายชนิดพากันผลิดอกออกผลมาให้ได้ชิมไม่รู้อิ่มอีกมากมาย มาดูกันดีกว่าค่ะว่า มีผลไม้ชนิดไหนที่หอบความอร่อยและคุณค่าดี ๆ มาสู่พวกเราทุกปี...

สตอรว์เบอร์รี่

สตรอว์เบอร์รี่

          สตรอว์เบอร์รี่อุดมด้วยวิตามินซี มีประโยชน์ต่อเหงือก และฟัน เมล็ดเล็ก ๆ ที่กระจายตามผลของสตรอว์เบอร์รี่จัดเป็นแหล่งไฟเบอร์อย่างดี นอกจากนี้ยังมี โฟเลท โพแทสเซียม และแอนตี้ออกซิแดนท์ คุณค่าต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ผลไม้ชนิดนี้ดีต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัวค่ะ เพราะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และมะเร็งชนิดต่าง ๆ และนี่คือเหตุผลที่คุณควรกินสตรอว์เบอร์รี่ค่ะ

Did you know?

          สตรอเบอรี่ 1 ลูก จะมีเมล็ดที่กระจายอยู่รอบผลประมาณ 200 เมล็ด

แอปเปิ้ล

 แอปเปิ้ล

          ประโยคที่ว่า "an apple a day will keep the doctor away." ยังคงเป็นจริงอยู่ตลอดกาลค่ะ เพราะนอกจากรูปทรง สีสันที่สวยงาม และความอร่อยที่ซ่อนอยู่ในเนื้อกรอบ ๆ แล้ว แอปเปิ้ลยังมีแร่ธาตุมากมายทั้งโพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม ซีลิเนียม วิตามินเอ วิตามินซี โฟเลท ซึ่งสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์ และยังมีวิตามินอี ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล

          ที่สำคัญ ผลแอปเปิ้ลยังมีเส้นใยที่เรียกว่า เพคติน ซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้เกิดการบีบตัวมาก เหมาะกับคนที่เป็นโรคท้องผูก ป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อย่างดี 

          นอกจากนี้ ดร.แบรี่ เซียร์ส ยังได้ระบุคุณสมบัติของแพคตินไว้ในหนังสือ "Top 100 Zone Foods" ไว้ด้วยว่า เส้นใยเพคตินยังสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดระดับคอเลสเตอรอลได้ด้วย

ลูกแพร์

 ลูกแพร์

          เป็นผลไม้ที่มาพร้อมลมหนาวอีกชนิดที่มีรสหวานฉ่ำ อุดมไปด้วยไฟเบอร์ มีแร่ธาตุอย่างสังกะสี เหล็ก อุดมไปด้วยวิตามินซี อี และบีบางชนิด แถมยังมีเอนไซม์ที่ชื่อไฟซิน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยย่อย เป็นยาระบายอ่อน ๆ เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องขับถ่ายลำบากเป็นอย่างยิ่ง

          ยังไม่หมดเท่านั้นค่ะ ที่สำคัญคือ ลูกแพร์หวานฉ่ำนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าโพลีฟีนอล ซึ่งช่วยต้านมะเร็งชนิดต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีเลย

Did you know?

          แอปเปิ้ล ลูกแพร์ และสตรอว์เบอรี่ ต่างก็เป็นผลไม้ที่จัดอยู่ในตระกูลกุหลาบด้วยกันทั้งสิ้น
 
กีวีฟรุต

 กีวีฟรุต

          กีวีเพียงหนึ่งหรือครึ่งลูกจะมีวิตามินซีเทียบได้กับส้ม 1 ผลเลยล่ะค่ะ นอกจากนี้ เมล็ดสีดำในกีวียังเป็นแหล่งของใยอาหารชั้นดี และยังมีปริมาณของโปแทสเซียมอยู่ในระดับใกล้เคียงกับกล้วยหอม มีวิตามินเอ และอี เปลือกของกีวีเป็นแหล่งของสารแอนตี้ออกซิแดทน์ เมล็ดในของกีวีมีกรดโอเมก้า 3 แถมยังมีแคลอรี่ต่ำด้วยค่ะ เพราะกีวี 1 ผล จะให้พลังงานเพียง 46 กิโลแคลอรี่ แบ่งเป็น ไขมัน 0.3 กรัม โปรตีน 1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 11 กรัม วิตามินหลากชนิดอีก 75 มิลลิกรัม ทำให้กีวีเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนทุกเพศวัยค่ะ

Did you know?

          กีวีฟรุตเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน และทางพฤกษศาสตร์กำหนดให้กีวีเป็นผลไม้ตระกูลเบอรี่ เหมือนกับเสาวรส หรือกระทกรกนั่นเอง

องุ่น

 องุ่น

          จริงอยู่ที่องุ่นจะออกผลได้ตลอดปี แต่ฤดูหนาวเป็นช่วงที่องุ่นมีรสอร่อยที่สุดค่ะ องุ่นเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่สำคัญคือน้ำตาล ที่เป็นทั้งซูโคส และกลูโคส นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้ง วิตามินเอ วิตามินซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม และเหล็ก ซึ่งเป็นประโยชน์ในระบบการทำงานประสาท และการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อค่ะ

Did you know?

          ภาพและสัญลักษณ์บนผนังถ้ำตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณแสดงให้เห็นการเก็บเกี่ยวและผลิตไวน์ในสมัยนั้น ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า มนุษย์รู้จักปลูกองุ่นและนำมาแปรรูปตั้งแต่เมื่อ 8,000 ปีมาแล้ว

เสาวรส

 เสาวรส

          เป็นผลไม้ที่มีกลิ่นหอมดึงดูดใจ แถมรสชาติก็อร่อยกินแล้วชื่นใจอย่าบอกใครเลยค่ะ โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวเนี่ย ออกผลกันให้ได้เห็นมากที่สุด และรสชาติก็ดีกว่าฤดูไหน ๆ เพราะฉะนั้น คอเสาวรสทั้งหลายพลาดไม่ได้จริง ๆ ค่ะ

          เสาวรสเป็นแหล่งของวิตามินเอ และซี และยังมีวิตามินบีคอมเพล็กซ์ ธาตุเหล็ก กินแล้วดีต่อสุขภาพตา ช่วยในการมองเห็น กำจัดสารพิษในเลือด บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ขอบอกว่า กินแล้วดีจริง ๆ ค่ะ


มากคุณค่ากับผลไม้ตามฤดูกาล

          การกินผลไม้ตามฤดูกาลนั้นให้ประโยชน์มากมายทั้งราคาไม่แพง คงความสดใหม่ไม่ต้องนำเข้าจากประเทศห่างไกล รสชาติดีเพราะเจริญเติบโตในฤดูกาลที่สภาพอากาศเป็นใจ ที่สำคัญคือ ปลอดสารเคมีอย่างยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเร่งดอก เร่งผล อีกด้วย

เคล็ดไม่ลับ... เลือกผลไม้ได้คุณค่า

           เลือกผลไม้ที่มีสีสดใส ผิวเต่งตึง ไม่เหี่ยว หรือนิ่ม หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรอยช้ำ และรอยเจาะของแมลง

           ขั้วและก้านของผลไม้ก็มีส่วนสำคัญ เลือกที่สีสด ระหว่างขั้วและผลไม้ไม่มีสีน้ำตาล หรือเชื้อราขึ้นอยู่

           ไม่ซื้อผลไม้ที่จัดวางรวมกับเนื้อสดทุกชนิด เพราะเลือดหรือของเหลวจากอาหารสดเหล่านั้นอาจทำให้ผลไม้มีเชื้อแบคทีเรีย

          ในเมื่อหนาวนี้เต็มไปด้วยผลไม้ที่ล้วนมากคุณค่าเปี่ยมประโยชน์ขนาดนี้ ไม่ซื้อหามากินคงไม่ได้แล้วค่ะ

5 สุดยอดของว่าง อาหารหัวใจ



อาหารเพื่อสุขภาพ


5 สุดยอดของว่างอาหารหัวใจ (Lisa)

          กินไม่เลือกระวังจะสร้างไขมันมาอุดหัวใจ ไปดูกันดีกว่าว่าของว่างอร่อย ๆ ช่วยบำรุงหัวใจมีอะไรบ้าง

แอปเปิ้ล

 แอปเปิ้ล

          เป็นความจริงที่ว่าการกินแอปเปิ้ลวันละผลจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรงพยาบาล ในการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แอปเปิ้ลเป็นอันดับสองของผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด (รองลงมาจากแครนเบอร์รี่) และยังมีใยอาหารชื่อเพคติน ควรทำปฏิกริยากับไฟโตนิวเทรียนท์อื่น ๆ โดย สารต้านอนุมูลอิสรนะชื่อ Quercetin พบในแอปเปิ้ลจะช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เป็นบ่อเกิดของโรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว ในขณะที่เพคตินช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล "เลว" แอปเปิ้ลยังมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบอีกด้วย

           Tip: แอปเปิ้ลทุกชนิดดีต่อหัวใจของคุณ แต่แอปเปิ้ลแดงจะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด

บลูเบอร์รี่

บลูเบอร์รี่

          เบอร์รี่ชนิดนี้เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (โดยเฉพาะแมงกานีส วิตามินซีและอี) ซึ่งให้การป้องกันในระดับเซลล์เลยทีเดียว นอกจากการช่วยลดคอเลสเตอรอล "เลว" พร้อมกับการเพิ่มคอเลสเตอรอล "ดี" แล้ว ไฟโตนิวเทรียนท์ยังจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ แถมยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตให้ปกติอีกด้วย

           Tip: บลูเบอร์รี่ที่ปลูกแบบออร์แกนิกมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด หากเป็นไปได้กินทุกวันก็ยิ่งดี ส่วนบลูเบอร์รี่แช่แข็งนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยลงมา
 
ช็อกโกแลต

ดาร์กช็อกโกแลต

          การศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร British Medical Journal ชี้ว่า มีอาหารเจ็ดกลุ่มที่จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจได้ถึงร้อยละ 75 และหนึ่งในนั้นก็คือดาร์กช็อกโกแลต ซึ่งมีปริมาณโกโก้อยู่สูง โกโก้มีสารจำพวกฟลาวานอยด์ที่ช่วยป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดแดงได้ จึงช่วยลดโอกาสเกิดหัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตก นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าดาร์กช็อกโกแลตช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย

           Tip: กินแค่น้อย ๆ ประมาณไม่เกิน 2 ตารางนิ้วต่อครั้ง และเลือกที่มีปริมาณโกโก้เกิน 70%

องุ่น


องุ่น

          องุ่นมีสารอาหารปกป้องหัวใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี บี6 โพแทสเซียม และฟลาวานอยด์ สารอาหารเหล่านี้รวมกันจะช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยในการสูบฉีดเลือด โดยเฉพาะวิตามินบี6 ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบ ลดโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและความดันโลหิต

           Tip: ไม่ว่าจะองุ่นสดหรือองุ่นแช่แข็งก็มีสารอาหารเต็มเปี่ยมเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้กินเมล็ดด้วยนะ
 
อัลมอนด์

อัลมอนด์

          อัลมอนด์มีสารอาหารที่ดีต่อหัวใจมากมาย ได้แก่ ใยอาหาร วิตามินอี โพแทสเซียม และแมกนีเซียม โดยแมกนีเซียมนั้นจะช่วยให้ระดับความดันโลหิตเป็นปกติ ส่วนโพแทสเซียมสำคัญต่อการสูบฉีดเลือด นอกจากนี้ อัลมอนด์ยังเต็มไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งเป็นไขมันที่ดี ในการศึกษามากมายชี้ว่าไขมันชนิดนี้ช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจได้

เชอร์รี่ ผลไม้ช่วยเนรมิตอารมณ์ดีให้สาว ๆ



เชอร์รี่

เชอร์รี่ ผลไม้เพิ่มความสุข (Woman plus)

          สาว ๆ รู้หรือไม่ว่า เชอร์รี่ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซีที่มีมากกว่าส้มถึง 30-80 เท่า นั้น นอกจากจะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ชะลอความแก่ และช่วยต้านอนุมูลอิสระแล้ว เชอร์รี่ยังมีคุณสมบัติช่วยให้สาว ๆ ทั้งหลายอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย

          จากผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าการกินเชอร์รี่มากถึง 20 ผล จะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้มากกว่าการกินยา เนื่องจากในผลเชอร์รี่มีสารที่ชื่อว่า แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นเม็ดสีในเชอร์รี่ ทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีสีสันสดใส และมีสรรพคุณที่สำคัญคือ ทำให้คนกินมีความสุข ด้วยเหตุนี้แพทย์ตะวันตกจึงเรียกเชอร์รี่ ว่า เป็นแอสไพรินธรรมชาติ

          ถ้าเวลาใดที่สาว ๆ รู้สึกเครียด หรือเกิดอาการซึมเศร้า ก็ลองเปลี่ยนจากการกินยารักษา มาใช้วิธีธรรมชาติบำบัดด้วยการกินเชอร์รี่ดูนะคะ

ปวดท้องเมนส์ กันดีกว่าแก้



ปวดประจำเดือน


ปวดท้องเมนส์ กันดีกว่าแก้ (Momypedia)
โดย: รัสมี ภู่

          เกิดเป็นหญิง..แท้จริงแสนลำบาก...อาจเป็น คำพังเพยโบร่ำโบราณแต่ยังไม่เชยตกยุคนะคะ เพราะคำคำนี้มักจะวาบขึ้นมาในความคิดเสมอ เวลาผู้หญิงเราต้องเผชิญภาวะเจ็บปวดทางร่างกาย ที่เห็นชัด ๆ ก็เวลาปวดท้องเมนส์นี่ละค่ะ

          แล้วลองคิดดู...เวลาสาว ๆ นั่งเอามือกุมท้อง ร้องโอดโอย หน้าตาซีดเซียว กินข้าวไม่ลง บางรายถึงขนาดไปโรงเรียนไม่ได้ ไปทำงานไม่ได้ จะน่าเห็นใจสักแค่ไหน...งานนี้ ต้องมาจัดการกับอาการเจ็บปวดจากภัยธรรมชาติ (ทางร่างกาย) แล้วล่ะ

          โดย คุณหมอเสาวคนธ์ อัจจิมากร สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ท่านช่วยไขข้อข้องใจให้ว่า สาเหตุของการปวดท้องเมนนี้มี 2 แบบ คือ

           แบบปฐมภูมิ เป็นการปวดที่ไม่มีสาเหตุ มักเกิดกับเด็กในวัยเริ่มมีประจำเดือน จนถึงวัยรุ่น

           แบบทุติยภูมิ เป็นการปวดที่มีสาเหตุ เช่น เยื่อบุมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ เป็นเนื้องอก ฯลฯ มักเกิดกับคนที่เลยวัยรุ่น หรือมีอายุเกิน 20 ปีไปแล้ว

          วิธีตั้งข้อสังเกตง่าย ๆ ของอาการ 2 แบบ นี้ก็คือ ถ้าอาการปวดหายไปพร้อมการหมดรอบเดือนคือการปวดแบบปฐมภูมิ แต่ถ้ารอบเดือนหมดแล้วยังมีอาการปวดต่อไปอีกระยะหนึ่ง จะเป็นแบบทุติยภูมิ และอย่านิ่งนอนใจ ควรพาตัวเองไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของโรคค่ะ

          สำหรับการการปวดท้องเมนส์ของเด็กวัยแรกสาว และสาวรุ่นนั้น ส่วนใหญ่จึงมักเป็นการปวดแบบไม่มีสาเหตุ คือปวดเพราะมดลูกมีการบีบ หรือเกร็งตัวเพื่อช่วยในการหลั่งเลือดประจำเดือน รวมทั้งเวลามีรอบเดือนร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน prostaglandins ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการปวด

          ดังนั้นคุณหมอจึงแนะนำว่า ถ้ารู้ว่าจะปวดท้องเวลามีรอบเดือน ก็ควรจะหาวิธีป้องกัน โดยก่อนมีรอบเดือนแต่ละครั้งควรทานยาที่มีฤทธิ์ต้าน prostaglandins เสียก่อน จะได้ไม่ต้องนั่งเจ็บปวด และทนทรมานจากภาวะธรรมชาติในตัวแทบทุกเดือน

          "เมื่อก่อนเราอาจจะใช้แก้ปวดธรรมดา เช่น พาราเซตตามอล แอสไพริน หรือถ้าปวดมาก ๆ ก็กินยาคลายกล้ามเนื้อ แต่เมื่อเราค้นพบว่ามีฮอร์โมน prostaglandins เป็นตัวก่อให้เกิดอาการปวดท้องเวลามีเมนส์ ซึ่งในบางคนใช้ยาแก้ปวดธรรมดา หรือยาคลายกล้ามเนื้ออาจไม่ได้ผล เขาจึงจำเป็นต้องใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้าน prostaglandins หรือในชื่อยาที่คนรู้จักคือ Ponstan ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านสารตัวนี้"

          คุณหมอยังบอกด้วยว่า การป้องกันโดยใช้วิธีทานยาป้องกันนี้ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ อาจแค่ระคายเคืองกระเพาะนิดหน่อย แต่ถ้าทานน้ำตามมาก ๆ หลังทานยาจะช่วยได้

          แต่ถ้าไม่อยากให้ทานยา และมีอาการปวดไม่มาก การใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบที่หน้าท้อง ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็ช่วยได้เช่นกัน เลือกบำบัดกันได้ตามอัธยาศัยค่ะ แต่คุณหมอก็ยังทิ้งท้ายว่า การป้องกันด้วยการทานยาน่าจะดีกว่ารอให้ปวดก่อนแล้วค่อยแก้ไขทีหลัง